การเลือกฟองน้ำขัดผิว วิธีดูแลและทำความสะอาดฟองน้ำขัดผิว และเชื้อโรคที่มากับฟองน้ำขัดตัวที่ไม่สะอาด “ฟองน้ำขัดผิว” เป็นอุปกรณ์ที่หลายคนใช้ในกิจวัตรการดูแลร่างกายประจำวัน เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวพรรณดูสดใสและเรียบเนียนขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ฟองน้ำขัดผิวที่เหมาะสมและการดูแลรักษาให้สะอาดอยู่เสมอมีความสำคัญมาก เพราะหากไม่ดูแลให้ดี ฟองน้ำขัดผิวอาจกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
การเลือกฟองน้ำขัดผิว
ประเภทของฟองน้ำขัดผิว
ฟองน้ำขัดผิวมีหลากหลายประเภทให้เลือก แต่ละแบบมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
1.ฟองน้ำธรรมชาติ ทำจากพืชทะเล มีความนุ่มนวล เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แต่ควรระวังในการใช้งานและทำความสะอาด เพราะมีรูพรุนมาก จึงสะสมเชื้อโรคได้ง่าย
2.ฟองน้ำสังเคราะห์ ผลิตจากวัสดุพลาสติกที่ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและทนทาน เหมาะสำหรับการขัดผิวทั่วไป
3.ใยบวบ เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ มีความหยาบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก แต่ควรระวังการใช้กับผิวบอบบางเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
วิธีดูแลและทำความสะอาดฟองน้ำขัดผิว
1.ทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง
หลังจากใช้ฟองน้ำขัดผิวเสร็จ ควรล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที เพื่อขจัดคราบสบู่ เซลล์ผิวที่หลุดลอกออกมา และสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในฟองน้ำ และแขวนหรือวางในที่ที่สามารถระบายอากาศได้ดี เพื่อให้ฟองน้ำแห้งเร็วที่สุด ป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและเชื้อราจากความชื้น
2.ทำความสะอาดล้ำลึกทุกสัปดาห์
ควรทำความสะอาดฟองน้ำขัดผิวอย่างล้ำลึกสัปดาห์ละครั้ง สามารถทำได้โดยการแช่ฟองน้ำในน้ำร้อนหรือน้ำผสมน้ำส้มสายชูหรือน้ำยาฆ่าเชื้อธรรมชาติทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกและผึ่งให้แห้ง
3.เปลี่ยนฟองน้ำขัดผิวทุก 1-2 เดือน
ควรเปลี่ยนฟองน้ำใหม่ทุก 1-2 เดือนเพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเริ่มเห็นว่าฟองน้ำมีกลิ่นอับหรือเริ่มเสื่อมสภาพ
เชื้อโรคที่มากับฟองน้ำขัดตัวที่ไม่สะอาด
ฟองน้ำขัดตัวที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสมสามารถสะสมเชื้อโรคและสิ่งสกปรกได้อย่างง่ายดาย เชื้อโรคที่อาจสะสมได้มีหลายชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เชื้อราทำให้เกิดอาการแพ้บนผิวหนังได้ และไวรัสที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด เป็นต้น
การเลือกฟองน้ำขัดผิวและการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมมีความสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพผิวที่ดี ควรทำความสะอาดฟองน้ำทุกครั้งหลังใช้เสร็จ และผึ่งลมไม่ให้อับชื้น เป็นป้องกันเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ
